สาระสุขภาพฉบับเดือนธันวาคม


โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Gastroenteritis)


โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Gastroenteritis)
โรคนี้ เป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญและยืนยันถึงภัยอันตราย เนื่องจาก อัตราการเสียชีวิตของเด็กยังมีอัตราที่สูง โดยคร่าชีวิตเด็กทั่วโลกปีละสามหมื่นถึงห้าหมื่นคน
อาการ : ท้องเสียอย่างรุนแรง และมักมีอาการไข้ และอาเจียน บางรายที่เสียน้ำมากอาจช็อค และเสียชีวิต เป็นเชื้อต้นเหตุของลำไส้อักเสบรุนแรงในเด็กอ่อน และเด็กที่มีอายุ 1–3 ขวบ

สาเหตุ : โรตาไวรัส (Rota virus) มักระบาดในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนตุลาคม–กุมภาพันธ์ ของทุกปี

การติดเชื้อ : เชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายทางปาก และลงไปที่กระเพาะอาหาร และแบ่งตัวที่ลำไส้ เด็กที่ติดเชื้อ นอกจากสูญเสียน้ำ แล้วยังสูญเสียสารสำคัญที่ช่วยลำไส้ดูดซึมอาหาร

การรักษา : แพทย์จะรักษาแบบประคับประคอง คือให้ยาตามอาการ เช่นให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ไข้ และน้ำเกลือแร่ทดแทนการสูญเสียเกลือแร่จากการถ่ายและอาเจียน หากร่างกายมีภาวะเครียด แพทย์จะรักษาให้ความดันลดลง

การป้องกันตนเองจากโรคอุจจาระร่วง
1. ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำทุกครั้ง ก่อนปรุงหรือรับประทานอาหารและภายหลังจากถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
2. ดื่มน้ำที่สะอาด โดยน้ำต้มสุกจะดีที่สุด
3. เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และสะอาด
4. กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธ์ของแมลงวัน
5. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ

ที่มา : http://www.vcharkarn.com/varticle/372183

ขำขันแอบกิ๊ก











เยื่อหุ้มปอดอักเสบ (pleurisy)

เยื่อ หุ้มปอดอักเสบ (pleurisy)
- ซึ่งเป็นปฏิกิริยาการอักเสบที่เกิดขึ้นกับเยื่อหุ้ม ปอดมีลักษณะเป็นเยื่อบุสองชั้น ชั้นในบุเนื้อปอด ส่วนชั้นนอกบุผนังทรวงอก ระหว่างเยื่อหุ้มปอดทั้งสองชั้นเป็นสารน้ำหล่อลื่น ปริมาณ 10-20 มิลลิลิตร โดยปกติสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดซึ่งถือว่ามีน้อยมาก จะมีการดูดซึมและทดแทนตลอดเวลาโดยเซลล์บุเยื่อหุ้มปอดชั้นนอกเป็นหลัก
- เวลา ที่เกิดการอักเสบ จะพบว่ามีการสะสมของสารน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดที่ผิด ปกติ พบการเปลี่ยนแปลงชนิดปฏิกิริยาการอักเสบซึ่งอาจมีเซลล์ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นจำนวนมาก เกิดการกระตุ้นประสาทรับความรู้สึกซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งเยื่อหุ้มปอด ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหายใจเข้า นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงความดันภายในเยื่อหุ้มปอดอีกด้วย

สาเหตุ
1. เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตต่างๆ ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น กลุ่มเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ มักพบในคนหนุ่มสาวที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 3-5 วัน ส่วนการติดเชื้อค็อกแซกกีไวรัสชนิดบี ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง เจ็บหน้าอกนานครั้งละ 15-30 นาที อาจมีอาการหายใจเร็ว มักเป็นอยู่นาน 2-4 วัน ในประเทศไทยพบว่าเชื้อวัณโรคเป็นสาเหตุที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง
2. เกิดจากการ สูดดมสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น แอมโมเนีย
3. โรคของ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น โรคลูปัส โรครูมาตอยด์
4. มะเร็งปอด หรือมะเร็งเต้านม แพร่กระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด
5. เกิดจาก เนื้องอกของเยื่อหุ้มปอด
6. เกิดจาก ภาวะหัวใจล้มเหลว
7. โรคก้อน เลือดอุดตันเส้นเลือดไปปอด มักเกิดในผู้สูงอายุ คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดบุตร หญิงที่กินยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยกระดูกสะโพกหรือต้นขาหัก ผู้ป่วยที่นอนบนเตียงนานๆ และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว บางรายอาจเกิดจากน้ำคร่ำ ไขกระดูก หรือฟองอากาศ
8. เกิดจาก ต่อมน้ำเหลืองอุดตัน ภาวะมีน้ำหรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด
9. เกิดจาก การกระแทก อุบัติเหตุที่ทรวงอก กระดูกซี่โครงหักตำถูกเยื่อหุ้มปอด
10. สาเหตุจาก ยาบางชนิด เช่น hydralazine, procan และ dilantin
11. เกิดจากโรค ในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง ฝีในตับ ตับอ่อนอักเสบ
12. โรคเนื้อ ปอดขาดเลือดไปเลี้ยงบางส่วน

อาการ

ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการ ที่เด่นชัดคือเจ็บแปลบที่บริเวณหน้าอก ตรงตำแหน่งที่เยื่อหุ้มปอดอักเสบ คล้ายเข็มแทง เฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ ไอหรือจาม ทั้งนี้เนื่องจากมีการยืดตัวของเยื่อหุ้มปอดที่กำลังอักเสบ เราเรียกว่าอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะนี้เรียกว่า อาการเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มปอด ซึ่งมักมีอาการเจ็บแปลบเพียงชั่วไม่กี่วินาทีตรงหน้าอกซีกใดซีกหนึ่ง เป็นบางครั้งบางคราวเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ เวลาไอหรือจาม ถ้ากลั้นลมหายใจหรือหายใจค่อยๆ จะไม่มีอาการแต่อย่างใด

การวินิจฉัย

ลักษณะ อาการเจ็บหน้าอกจากเยื่อหุ้มปอดค่อนข้างจำเพาะเจาะจง การตรวจร่างกายระบบทางเดินหายใจ และการตรวจร่างกายทั่วไปโดยละเอียดจะช่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุของเยื่อ หุ้มปอดอักเสบได้หลายกรณี
1.การถ่ายภาพ รังสีทรวงอกในท่ายืนตรง และท่านอนตะแคง ช่วยในการวินิจฉัยสารน้ำในเยื่อหุ้มปอด และประเมินปริมาณของสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดได้จากภาพเอ็กซเรย์
2.การตรวจอัลตราซาวด์เป็นวิธีที่มีความ ไวสูงในการตรวจสารน้ำใน
เยื่อหุ้มปอด
3.การตรวจ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ นอกจากช่วยวินิจฉัยสารน้ำใน
เยื่อหุ้ม ปอดแล้ว ยังช่วยให้เห็นความผิดปกติของเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ อีกด้วย
4.การเจาะเอา สารน้ำในเยื่อหุ้มปอดออกมาตรวจ ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยหาสาเหตุ สารน้ำอาจเป็นชนิด ที่มีโปรตีนสูง น้ำตาลต่ำ เอ็นไซม์สูง ตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือสารน้ำอาจเป็นชนิดที่มีระดับของสารเคมีในเกณฑ์ปกติก็ได้ ลักษณะของสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดช่วยบ่งบอกสาเหตุได้ตามสมควร นอกจากนี้การตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย ตรวจหาเชื้อวัณโรค หรือตรวจพบเซลล์มะเร็ง ในสารน้ำจากเยื่อหุ้มปอดช่วยวินิจฉัยสาเหตุได้อย่างมาก

การรักษา

1.เยื่อหุ้ม ปอดอักเสบมีสาเหตุ และความรุนแรงต่างๆ กัน จึงควรซักถามอาการและตรวจร่าง กายอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะวินิจฉัยว่าเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง และให้การรักษาตามอาการ ที่สำคัญต้องติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ถ้าไม่ดีขึ้น หรือสงสัยมีความผิดปกติ ก็ควรจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม
2.ถ้าเจ็บ แปลบเพียงไม่กี่วินาที่เป็นครั้งคราวไม่มีอาการไข้ และหายใจเป็นปกติ ให้ยาต้าน อักเสบที่ไม่ใช่
สเตอรอยด์, ถ้าไอมากและทำให้เจ็บหน้าอก ให้กินยาระงับการไอ-โคเดอิน 30 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง, ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ควรส่งเอกซเรย์ และตรวจพิเศษเพิ่มเติมอื่นๆ
3.ถ้าอาการเจ็บหน้าอก รุนแรง ผู้ป่วยอยู่ในภาวะช็อก หรือมีไข้สูง ไอเป็นเลือด หายใจหอบเหนื่อยมาก ควรตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาไปตามสาเหตุที่พบ
4.การใช้ยา แก้ปวดช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี โดยพิจารณาความรุนแรงของอาการปวดเป็นหลัก ไม่ควรใช้ยาหลายขนานพร้อมๆ กัน
5.ในกรณีที่ มีสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดจำนวนมาก อาจพิจารณาเจาะดูดออกตามสมควร แต่ต้องพิจารณาเป็น รายๆ ไป และต้องทำการตรวจสารน้ำในเยื่อหุ้มปอดเพื่อหาสาเหตุด้วยเสมอ
6.ในกรณีที่ เกิดจากการติดเชื้อ พิจารณาให้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม โดยทั่วไปยาต้าน จุลชีพจะถูกดูดซึมเข้าสู่เยื่อหุ้มปอดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยาต้านวัณโรคด้วยเช่นกัน
7.ถ้าพบว่ามีหนองในโพรงเยื่อ หุ้มปอด แพทย์อาจพิจารณาใส่ท่อระบายหนอง หรือทำการผ่าตัดรักษา
8.ในรายที่ เกิดจากการกระจายของเซลล์มะเร็ง อาจพิจารณาฉีดยาบางชนิดเข้าไปในโพรงเยื่อหุ้มปอด เพื่อให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดเนื้อเยื่อพังผืด จึงเป็นการปิดโพรงเยื่อหุ้มปอดไปโดยปริยาย

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

19 วิธีดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาว


หนาว ๆ อย่างนี้ เรามี 19 วิธีดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวมาฝาก เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้อย่างปลอดภัยจากอากาศที่แสนจะหนาวเย็นกันค่ะ
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
2. ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ควรดื่มน้ำเย็น ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเป็นน้ำอุ่น
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 15 - 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
5. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัด
6. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น อาทิ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ ช้อน ส้อม ฯลฯ   
7. พยายามอยู่ในที่ซึ่งมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีฝุ่นเยอะ
8. หากป่วยเป็นโรคไข้หวัด ควรนำผ้ามาปิดจมูกและปากเวลาจามหรือไอ
9. งดบุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
10. ล้างมือบ่อย ๆ เพราะมือของเราต้องสัมผัสกับสิ่งของต่าง ๆ ตลอดเวลา และอาจมีเชื้อโรคสะสมอยู่
11. พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นไว้เสมอ ด้วยการสวมเสื้อผ้าหนา ๆ และปกปิดร่างกายให้มิดชิดจากอากาศหนาว  
12. หากอยู่ในสถานที่ที่อากาศหนาวเย็นมาก ๆ ควรสวมหมวก สวมถุงเท้า   
13. ไม่อาบน้ำนานเกินกว่า 15 นาที และควรอาบน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อน) 
14. ทาโลชั่นหรือน้ำมันทั่วร่างกายเพื่อดูแลให้ผิวชุ่มชื้น   
15. ระวังริมฝีปากแตก ควรใช้สีผึ้ง หรือลิปกรอส และไม่เลียริมฝีปากบ่อย ๆ          
16. ใช้สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงสบู่ที่ใช้ฆ่าเชื้อหรือสบู่ที่สามารถกำจัดกลิ่นตัว            17. ตอนเช้าควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้าเท่านั้น ส่วนสบู่หรือโฟมล้างหน้าให้ใช้ในตอนค่ำ
18. ทาครีมบำรุงผิวในขณะที่ผิวยังหมาด ๆ อยู่ ควรทาที่มือและผิวหน้าด้วย
19. ควรมีโลชั่นไว้ทาที่อ่างล้างมือหลังล้างมือทุกครั้ง
เป็นไงค่ะ 19 วิธีที่อ่านมา ไม่ยากใช่ไหมค่ะ อ้อ...ลืมบอกไปนิดนึงว่า อย่าลืมดูแลและเอาใจใส่คนที่คุณรักด้วยนะค่ะ รับรองว่าฤดูหนาวปีนี้จะเป็นฤดูหนาวที่แสนจะอบอุ่นจนคุณไม่อยากให้ผ่านไปเลยค่ะ...
ที่มา : กระทรวงยุติธรรม http://www.moj.go.th/th/cms/detail.php?id=3185